ปัญหาอย่างหนึ่งที่คนชงกาแฟมักจะเจอบ่อยๆ คือ ชงกาแฟไม่ได้ดั่งใจ หลายคนซื้อเมล็ดกาแฟจากร้านโปรดมาเพื่อหวังจะดื่มกาแฟรสชาติถูกปากเองที่บ้าน แต่พอชงแล้วกลับไม่ได้ดั่งใจ เลยเกิดคำถามว่าไอ้ที่ชงๆ ไปนั้นมันผิดสูตรผิดขั้นตอนตรงไหน ทั้งๆ ที่ก็ทำตามแบบบาริสต้ามืออาชีพทุกขั้นตอน แต่สุดท้ายได้กาแฟรสชาติอย่างกับน้ำล้างแก้วกาแฟมาดื่มซะงั้น บางคนแก้ไขด้วยการ ”เลิก” ชงกินเอง แล้วผูกท้องไว้กับร้านกาแฟเจ้าประจำต่อไป บางคนไม่ยอมแพ้ ทำการทดลองหาสาเหตุถึงที่มาที่ไปว่าทำไมถึงชงกาแฟแล้วไม่ได้ดั่งใจ บางครั้งวิเคราะห์อย่างกับเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังวิจัยเรื่องกาแฟ สุดท้ายการดื่มกาแฟเพื่อความผ่อนคลายก็กลายเป็นการดื่มที่ต้องคอยเก็บข้อมูลอย่างขะมักเขม้นแทน...
คอกาแฟที่เพิ่งเริ่มต้นมีความคิดที่จะอยากชงกาแฟดื่มเองที่บ้าน มักจะให้ความสำคัญกับเมล็ดกาแฟก่อนเป็นอย่างแรก อยากได้รสชาติอย่างไรก็ซื้อเมล็ดกาแฟที่ให้รสชาติอย่างนั้น หลังจากเลือกเมล็ดกาแฟได้แล้วก็มาตระเวณหาเครื่องชงที่ต้องการ ถูกบ้างแพงบ้างตามกำลังทรัพย์ บ้างลงทุนกับเครื่องชงราคาเหยียบแสน แต่สุดท้ายได้กาแฟที่ให้รสชาติไม่ต่างจากกาแฟสำเร็จ คิดแล้วกลุ้มแทน ยิ่งถ้ามีคนให้เปรียบเทียบด้วยแล้วละก็ยิ่งเครียดขึ้นไปอีก...เอาล่ะๆ ใจเย็นๆ ครับ บางทีการชงกาแฟก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งเรื่องยากขนาดนั้น ตัดเรื่องเมล็ดกาแฟและเครื่องชงหลากหลายราคาไปแล้ว เคล็ดลับการชงกาแฟยังมีอีกมากที่จะใช้ให้คุณได้กาแฟแก้วโปรดมาเชยชม วิธีการก็ไม่ยาก เอาเป็นว่าอ่านแล้วลองเอาไปทำดูก็แล้วกันครับ เริ่มจาก...
ควรบดกาแฟใหม่ทุกครั้งที่ชงกาแฟ หรือไม่ควรใช้ผงกาแฟที่บดไว้แล้วนานเกิน 3 ชั่วโมง ข้อนี้ได้รับการยืนยันจากบาริสต้าหลายๆ คนแล้วว่า กาแฟที่จะชงให้ลูกค้าต้องเป็นกาแฟที่บดใหม่ทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แมคคาเฟ่ เรียกว่าบดกันแก้วต่อแก้วเลยที่เดียว สำหรับคนที่ซื้อกาแฟแล้วให้ทางร้านบดมาเลย ข้อนี้อาจจะทำได้ยากลำบากซะหน่อย แต่บาริสต้าก็แนะนำมาอีกว่า ถ้าบดใหม่ทุกครั้งไม่ได้ ก็ให้เก็บกาแฟที่บดแล้วไว้ในที่ที่แห้งและอากาศไม่สามารถเข้าไปได้ ก็จะเป็นการรักษารสชาติของกาแฟที่บดแล้วไว้ได้ระดับหนึ่ง
ปริมาณกาแฟที่ใช้ชงต่อครั้งให้อยู่ระหว่าง 8-10 กรัม ซึ่งโดยทั่วไปที่ใส่กาแฟของเครื่องชงทั่วไปก็จะอยู่ในระดับนี้อยู่แล้วต่อการชงกาแฟ 1 ช็อต บางคนอยากได้กาแฟที่รสชาติเข้ม พยายามใส่กาแฟเพิ่มเข้าไปเพื่อให้ได้กาแฟแบบเข้มข้ม สุดท้ายกลับได้กาแฟรสชาติไม่เข้ม ทั้งนี้ก็เพราะผงกาแฟแน่นมากเกินไปทำให้น้ำผ่านผงกาแฟได้ไม่สะดวก เลยได้กาแฟแบบจืดๆ แทน
ใช้น้ำสะอาด ที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่น น้ำมักเป็นสิ่งที่เรามองข้าม บางคนคิดว่าแค่น้ำสะอาดก็น่าจะพอแล้ว จึงไม่ค่อยพิถีพิถันในการเลือกน้ำมากนัก บางคนคิดว่าน้ำขวดที่ขายๆ อยู่เป็นน้ำที่เหมาะกับการชงกาแฟแล้ว แต่อยากจะบอกว่าน้ำบรรจุขวดที่ขายๆ อยู่ทั่วไปถ้าลองชิมดูแล้วจะรู้ว่าน้ำแต่ละยี่ห้อก็มีกลิ่นและรสชาติที่ไม่เหมือนกัน น้ำที่เหมาะที่สุดสำหรับการชงกาแฟ มีศัพท์เรียกแบบยากๆ ว่าเป็นน้ำที่ผ่านกระบวนการ Reverse Osmosis ซึ่งเดี๋ยวนี้จะเห็นได้ง่ายตามตู้กดน้ำตามหมู่บ้าน (แต่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเป็นน้ำ Reverse Osmosis จริงๆ) เอาวิธีง่ายที่สุดก็น่าจะเป็นน้ำต้มสุกน่าจะเข้าท่ามากที่สุดก็แล้วกันครับ ส่วนเรื่องอุณหภูมิของน้ำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ต้องให้ความสนใจครับ อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะในการชงกาแฟอยู่ที่ 90-96 องศาครับ ซึ่งเครื่องชงกาแฟทั่วไปจะตั้งค่าไว้ที่ประมาณนี้ครับ
ดื่มกาแฟที่ชงแล้วขณะที่ร้อนอยู่และอย่านำกาแฟไปอุ่นซ้ำ คอกาแฟตัวจริงจะรู้ดีกว่ากาแฟจะมีรสชาติดีหลังจากชงเสร็จแล้วไม่เกิน 15 นาที บางคนที่ชอบชงกาแฟมาทิ้งไว้แล้วปล่อยไว้ให้เย็น อยากจะบอกว่าคุณพลาดชิมรสชาติที่ดีที่สุดของกาแฟไปแล้ว ถ้าอยากจะแก้ตัวด้วยการเอาไปอุ่นด้วยแล้วล่ะก็ ขอบอกว่าคิดผิดถนัด เพราะกาแฟที่ถูกนำไปอุ่นจะเป็นกาแฟที่มีรสฝาดมากขึ้น เสียกาแฟไปทันที
ควรอุ่นถ้วยกาแฟก่อนการใช้ทุกครั้ง ขั้นตอนง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ ถ้าเป็นเครื่องชงกาแฟแบบคุณภาพดีนอกจากจะมีที่บดเมล็ดกาแฟแล้ว ยังมีที่อุ่นแก้วกาแฟมาพร้อมกันด้วย แต่ถ้าไม่มีเครื่องชงราคาแพงๆ ก็แค่เอาแก้วกาแฟที่จะใช้ไปลวกน้ำร้อนก็ใช้ได้แล้ว การอุ่นแก้วกาแฟเป็นการปรับอุณหภูมิของแก้วกาแฟให้พร้อมรับกาแฟร้อน หรือเรียกอย่างง่ายๆ ว่าเป็นการปลุกแก้วกาแฟให้ตื่นก็ว่าได้ (ฟังๆ ดูเหมือนกำลังจะดื่มไวน์ยังไงก็ไม่รู้นะครับ)
นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีเคล็ดลับอีกเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจอีก อย่างเช่น ควรล้างเครื่องชงกาแฟหลังใช้งานเสร็จทุกครั้ง เพราะถ้าไม่ล้าง เครื่องจะทำการเก็บกลิ่นกาแฟไว้ หากคุณต้องการเปลี่ยนกาแฟใหม่ กลิ่นและรสชาติที่ค้างอยู่ในเครื่องจะทำให้กาแฟเสียรสชาติไป
หรือถ้า พบว่ากาแฟที่คุณซื้อมามีรสเปรี้ยวมากเกินไป ให้ลองใส่เกลือลงไปในผงกาแฟซักเล็กน้อย ความเปรี้ยวของกาแฟจะลดลง และเกลือจะช่วยขับความขมและความหอมของกาแฟออกมามากขึ้น
เก็บมาฝาก กันพอหอมปากหอมคอเผื่อครั้งหน้าใครจะชงกาแฟจะได้นำไปใช้ครับ แต่ถ้าไม่มั่นใจว่าจะเวิร์คตามที่ต้องการหรือเปล่า ลองให้มืออาชีพเค้าจัดการแล้วเรานั่งรอจิบอย่างเดียวก็เข้าท่าดีนะครับ
Read more:
http://coffeetalk.exteen.com/